วันเสาร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2550

เรื่องน่ารู้..เกี่ยวกับมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
..มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด...เป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่สุดของประเทศสหรัฐอเมริกา ได้รับการจัดให้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของโลกมายาวนาน สถาบันการศึกษาแห่งนี้ไม่เพียงแต่คัดเลือกคนเก่งจากทั่วโลกมารวมกัน แต่คนเก่งเหล่านี้ยังต้องได้รับการกลั่นกรองคัดเลือกให้เหลือเฉพาะผู้ที่แสดงเจตจำนงว่าเป็นผู้มีอุดมการณ์ชัด เป้าหมายชีวิตชัดเจนว่าต้องการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงใหม่ด้านใดด้านหนึ่งสู่สังคม ไม่ต้องการเป็นเพียงคนธรรมดาๆ เมื่อจบการศึกษาออกไป...ซึ่งการที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้รับการจัดอันดับเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 เนื่องจาก

1.การเรียนการสอนมีคุณภาพ

* การสอนแบบกรณีศึกษา ที่กระตุ้นให้ผู้เรียนมีความกระตือรือร้นในการแสวงหาความรู้ทั้งจากภายในและนอกห้องเรียน

* ผู้สอนมีกิจกรรมหลายรูปแบบในการฝึกทักษะที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การเรียน เช่นกิจกรรมฝึกการเขียนบทความ ฝึกการพูดในที่ชุมชน

* สร้างแรงจูงใจให้ผู้เรียนค้นคว้าก่อนเข้าห้องเรียน

2. สื่อการสอนที่มีคุณภาพ
*ผู้สอนจะคัดเลือกหนังสือที่ดี มีชื่อเสียง ที่ได้รับการยอมรับโดยการตีพิมพ์ในหลายภาษามาให้ผู้เรียนได้อ่าน

อ้างอิง: เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์.หลังกำแพงฮาร์วาร์ด. บริษัทซัคเซส มีเดีย จำกัด.กรุงเทพมหานคร.

กรณีศึกษา:ประสบการณ์แบบญี่ปุ่น

บทความฉบับนี้เป็นกรณีศึกษา:ประสบการณ์แบบญี่ปุ่น จากหนังสือหัวใจของการปฏิรูปการศึกษาซึ่งได้กล่าวถึงการปลูกฝังให้นักเรียนทำงานเป็นทีมของโรงเรียนประถมศึกษา Gyodanishi ได้แก่
1.การทำความสะอาดตึกเรียน
**โรงเรียนประถม Gyodanishi ไม่มีนักการภารโรงที่จะทำหน้าที่ทำความสะอาดให้โรงเรียน จะมีแต่ผู้ทีทำหน้าที่คล้ายแม่บ้าน 1 คน คอยทำความสะอาดห้องพักครู ห้องครูใหญ่ ห้องธุรการ และรดน้ำต้นไม้ของโรงเรียนเท่านั้น การทำความสะอาดโรงเรียนจึงเป็นหน้าที่ของนักเรียนโดยตรง โดยมีครูประจำชั้นคอยกำกับ ช่วงเวลา13.25-13.45 เป็นช่วงเวลาของการทำความสะอาดห้องเรียน ระเบียงและห้องปฏิบัติการต่างๆ เมื่อถึงเวลาของการทำความสะอาดดังขึ้น นักเรียนจะรู้จักหน้าที่ของตนเองดี โดยมีการแบ่งหน้าที่เป็นกลุ่มๆคือ
*กลุ่มแรกทำความสะอาดในห้องเรียน
*กลุ่มที่สองทำความสะอาดระเบียง
*กลุ่มที่สามจะขึ้นไปทำความสะอาดที่ห้องปฏิบัติการ
วิธีการทำความสะอาดห้องเรียนหรือห้องปฏิบัติการจะเหมือนกัน คือต้องยกเก้าอี้ขึ้นบนโต๊ะ แล้วเลื่อนโต๊ะไปรวมกันที่ด้านหนึ่ง หลังจากนั้นจะกวาดและเช็ดด้วยผ้าเปียก เมื่อเสร็จครึ่งห้องก็จะทำวิธีเดียวกัน โดยเลื่อนโต๊ะไปรวมกันด้านตรงข้าม เมื่อทำความสะอาดพื้นเสร็จเด็กๆจะช่วยกันจัดโต๊ะเรียนให้เข้าที่เดิม การทำความสะอาดระเบียงก็เช่นกัน จะใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตลอดแนว การทำความสะอาดจะใช้เวลา 20นาที ทุกห้องก็จะสะอาดพร้อมที่จะใช้สำหรับชั่วโมงต่อไป
นอกจากนี้ ครู เจ้าหน้าที่ แขกของโรงเรียนและนักเรียนจะต้องเปลี่ยนรองเท้าสำหรับใส่เข้าตึกเสมอ จะมีการแยกอย่างชัดเจนระหว่างรองเท้าใส่นอกตึงกับรองเท้าใส่ในตึก ซึ่งเป็นวิธีช่วยให้โรงเรียนสะอาดอยู่เสมออีกทางหนึ่ง
2. กิจกรรมรับประทานอาหาร
ในโรงเรียนประถม Gyodanishi จะมีเจ้าหน้าที่ดูแลอาหาร 1 คน และมีแม่ครัว 5 คนมีหน้าที่ปรุงอาหาร เมื่อได้เวลาส่งอาหารให้นักเรียน แม่ครัวจะจัดอาหารใส่รถเข็น โดยแบ่งไปตามจำนวนห้อง จานช้อนต่างๆจะพอดีกับจำนวนนักเรียนในแต่ละห้อง
เมื่อถึงเวลาของอาหารกลางวันเด็กๆจะช่วยกันจัดโต๊ะเรียนโดยแยกเป็นกลุ่ม โดยมีเด็กในห้อง 8 คน ไปนำอาหารที่แม่ครัวจัดไว้ให้เข็นขึ้นมาที่ห้อง เด็กทั้ง 8 คนจะเป็นผู้ตักอาหารใส่จานและนำไปตั้งบนโต๊ะเรียนจนครบ เมื่อรับประทานอาหารเสร็จเด็กที่รับผิดชอบทั้ง 8 คนจะนำภาชนะทั้งหมดใส่รถเข็นและนำไปคืนให้แม่ครัว เด็กที่รับผิดชอบทั้ง 8 คนจะมีการเปลี่ยนเวรกันภายในห้องอาทิตย์ละ 1 ชุด และทุกห้องก็จะทำเช่นเดียวกัน

**จากการอ่านบทความจะเห็นได้ว่าการฝึกเด็กของญี่ปุ่นนั้นเด็กจะได้รับการฝึกทุกวันจนเป็นเรื่องปกติ และเป็นการสอนให้รู้จักใช้ชีวิต การให้ความร่วมมือเมื่อยู่กับผู้อื่น ฝึกความรับผิดชอบร่วมกัน และสอนในรายละเอียดทุกขั้นตอนและต่อเนื่อง และการฝึกเด็กของญี่ปุ่นเน้นการปฏิบัติเป็นหลัก และเป็นการปฏิบัติที่ต่อเนื่อง คนญี่ปุ่นจึงถนัดในเรื่องการทำงานเป็นทีม
เมื่ออ่านบทความและได้มีโอกาสคุยกับเพื่อนครูที่ไปญี่ปุ่นพบว่าทุกโรงเรียนของญี่ปุ่นจะทำเช่นเดียวกัน แสดงว่าการปลูกฝังเรื่องต่างๆให้กับเด็กมีทิศทางที่แน่นอน และเหมือนกันซึ่งน่าจะนำมาปรับใช้ในโรงเรียนบ้าง

เทคนิคฝึกสมองไบรท์..
มองเป็นอวัยวะที่ตัดสินใจทุกเรื่องของชีวิต เราจึงควรเอกเซอร์ไซส์ให้สมองไบรท์ด้วยเทคนิคง่ายๆดังนี้
1.จิบน้ำบ่อยๆ เพราะเซลล์สมองต้องการน้ำหล่อเลี้ยงเหมือนต้นไม้ ถ้าไม่มีน้ำสมองจะส่งข้อมูลช้า ทำให้คิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก
2.กินไขมันดี เนื่องจากสมองคือก้อนไขมัน จึงจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ อาหารที่มีไขมันดีได้แก่ สารสกัดใบแปะก๊วย นมถั่วเหลือง วิตามินรวม
3.นั่งสมาธิวันละ 12 นาที หลังตื่นนอนแล้วให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที
4.ใส่ความตั้งใจ การตั้งใจในสิ่งใดก็ตามเหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิดระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่างๆ
5.หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ เพราะการยิ้มและการหัวเราะจะมีสารเอ็นโดรฟินซึ่งเป็นสารแห่งความสุขหลั่งออกมา
6.เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟินและโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนและสร้างสรรค์ไปเรื่อยๆ
7.ให้อภัยตัวเองทุกวัน เพราะการโกรธตัวเองหรือโกรธคนอื่นทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยเป็นการลดภาระงานของสมอง
8.เขียนบันทึก เพราะการเขียนเรื่องดีๆทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี มีความคิดสร้างสรรค์
9.ฝึกหายใจลึกๆ เพราะสมองใช้ออกซิเจน 20-25% ของออกซิเจนท่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจลึกๆเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น

อ้างอิง:วนิษา เรซ ผู้เชี่ยวชาญด้านอัฉริยภาพ